

“อยากจะมีรถสปอร์ตเท่ๆ สมรรถนะดี ใช้ขับขี่เป็นรถคู่ใจสักคันหนึ่ง” นี่อาจเป็นเป้าหมาย หรือความฝันของใครหลายคนเลยก็ว่าได้ แต่การซื้อรถสปอร์ตสักคัน จำเป็นต้องเตรียมงบไว้ค่อนข้างสูงกว่าการซื้อรถทั่วไป เพราะคุณภาพเครื่องยนต์ และเทคโนโลยีของรถสปอร์ตค่อนข้างดี และล้ำสมัย แตกต่างจากรถทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
การซื้อรถสปอร์ตมือสองจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากมีรถสปอร์ต ด้วยราคาที่จ่ายน้อยกว่า แต่ได้รถที่มีสภาพใหม่ไม่แตกต่างไปจากรถมือหนึ่ง ดังนั้น บทความนี้ คาร์ฮีโร่จะมาแนะนำรถสปอร์ตมือสองรุ่นต่างๆ ที่น่าสนใจ มาดูกันว่าแต่ละรุ่นจะมีดีไซน์ที่โดดเด่น และฟังก์ชันการใช้งานอะไรบ้าง
1. Porsche Cayenne
Porsche Cayenne เป็นรถ SUV พรีเมียมที่ขับได้เหมือนรถสปอร์ต มีภาพลักษณ์ติดตัวเป็นความหรูหรา เนื่องจากแต่ก่อนในไทยมีราคาแพง และเป็นรถ SUV พรีเมียมรุ่นแรกๆ ของโลก สำหรับการออกแบบโฉมล่าสุดภายนอกมีรูปลักษณ์ที่ดูหรูหราสวยงาม แต่ก็เพิ่มลูกเล่นทำให้ดูสปอร์ตเร้าใจมากขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น
- ไฟหน้าปรับรูปแบบการส่องสว่างอัตโนมัติ
- ระบบไล่ฝ้า และลดแสงสะท้อน ที่กระจกมองข้างแบบอัตโนมัติ
- ฝากระโปรงเปิด-ปิดแบบไฟฟ้า
- ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต (PASM)
- ระบบจดจำปรับที่นั่ง
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบสองโซน
- ระบบดิจิทัลช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ
- ระบบนำทาง
- รองรับ Apple CarPlay เครื่องเสียงจาก Bose
รวมระบบความปลอดภัยทั้งเชิงปกป้อง และเชิงป้องกัน อีกทั้งการบังคับแบบไฮบริด ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ V6 3.0 ลิตร กับระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังรวมทั้งหมดสูงถึง 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 720 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ชื่นชอบการขับขี่ที่สนุก ไม่ว่าจะขับแนวลุยๆ Off-road หรือเน้นความสะดวกนั่งสบายแบบครอบครัว รถรุ่นนี้ก็รับจบได้หมด ซึ่งมีราคามือหนึ่งประมาณ 19.5 ล้านบาท และรถสปอร์ตมือสองราคาอยู่ที่ประมาณ 6 – 7 ล้านบาท
2. Porsche Cayman
รถสปอร์ตมือสองของ Porsche อีกรุ่นที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน คือ Porsche Cayman ซึ่ง Cayman มาจากคำว่า Caiman ที่หมายถึงสัตว์เคลื้อยคลานคล้ายจระเข้ โดยรถรุ่นนี้จัดได้ว่ามีสมรรถนะสูงมาก ได้รับความนิยม และเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ออกแบบมาได้สวยงาม สะดุดตามากที่สุด มาในสไตล์รถ Coupe ดูเรียบง่าย แต่ก็ซ่อนลายเส้นความเฉียบคมตามแบบฉบับ Porsche ไว้ครบถ้วน การออกแบบภายในที่มีงานคราฟท์แผงหน้าปัดที่ให้ความหรูหรา และฟังก์ชันการใช้งานสะดวกล้ำสมัยครบครัน เช่น
- ระบบ Porsche Communication Management (PCM)
- ระบบนำทางควบคุมด้วยการสั่งเสียง
- เชื่อมต่อ Wifi
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
- ระบบกระจายแรงเบรก
- ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ
- ระบบแจ้งเตือนแรงดันลม
- ลำโพง 8 ตัว
- ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต (PASM)
- กล้องส่องภาพด้านหลัง
- สัญญาณกะระยะถอยหลัง
มาพร้อมเครื่องยนต์กลางลำ 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ PDK 7 สปีด ที่เวลาเปลี่ยนเกียร์จะมีความนุ่มนวล แต่ก็ตอบสนองเร็ว เวลาต้องการขับแบบสปอร์ต ใช้เวลาเพียง 4.9 วินาที ในอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร ออกตัวดีแรงเร็วได้ตามที่ใจต้องการ โดดเด่น ขับง่าย คล่องตัว และมีขนาดรถไม่ใหญ่เกินไป ผู้หญิงเองก็สามารถขับขี่ได้เช่นกัน มีราคามือหนึ่งเริ่มต้นที่ 6 – 10 ล้านบาท ส่วนราคามือสองอยู่ที่ 2 – 12 ล้านบาท
3. Mercedes Benz A Class
รถ Mercedes Benz A Class เป็นรถสปอร์ตที่เรียบหรู แต่มีความปราดเปรียว และสง่างาม ด้วยดีไซน์ภายนอกสอดคล้องกับการออกแบบ Sensual Purity เน้นความเรียบง่าย และให้ความสำคัญกับผิวสัมผัส มีขนาดเล็กใช้ขับขี่คล่องตัว เหมาะมาไว้ใช้งานเป็นรถหรูของผู้บริหาร หรือใช้ในครอบครัวก็ได้ เพราะภายในรถกว้างขวาง มีพื้นที่มากกว่ารถแบบเดียวกัน ตกแต่งสวยงามทันสมัย และจัดเต็มกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการขับขี่ประจำวัน เช่น
- ระบบแผนที่นำทาง 3 มิติ
- ระบบควบคุมระยะการจอด หน้า-หลัง
- ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
- ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต
- กล้องมองภาพด้านหลัง
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
- ระบบปรับระยะส่องไฟหน้า
- ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
- ระบบนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parktronic)
- กล้องมองภาพรอบทิศทาง Intelligent around View Monitor
- ระบบ AI MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่
รถ Mercedes Benz A Class มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบอินเตอร์คูล ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ดูอัลคลัตช์ 7 สปีด ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ที่ 8.1 วินาที ถึงแม้จะมีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก แต่ Mercedes Benz A Class ก็มีเทอร์โบที่ช่วยให้การขับขี่สนุกยิ่งขึ้น ช่วงล่างแข็งแรงรองรับการสั่นสะเทือนได้ดี ทั้งยังมีโหมด Eco สำหรับประหยัดน้ำมันอีกด้วย หากสนใจจับจองรุ่นนี้มีราคาที่ 1.9 – 2.1 ล้านบาท หรือสนใจรถเบนซ์มือสองรุ่นนี้ จะมีราคาอยู่ที่ 1.2 – 1.9 ล้านบาท
4. BMW Series 8
รถสปอร์ตซิ่งสุดหรู BMW Series 8 ได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปตั้งแต่การผลิตครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1999 ซึ่งรอบนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการเป็นรถสปอร์ต Coupe เปิดประทุน มีกระจังหน้าทรงไตคู่ ไฟหน้า LED ที่ผอมเพรียวอย่างโฉบเฉี่ยว และลายเส้นไฟหน้า 4 วง ภายในใช้วัสดุแบบพรีเมียมหนังแท้คุณภาพสูงตกแต่ง พร้อมเทคโนโลยีฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ เช่น
- ปุ่มควบคุมอัจฉริยะ iDrive
- ระบบปฏิบัติการ BMW OS7.0
- ระบบขับเคลื่อน MxDrive
- เครื่องเสียง Bowers & Wilkins
- Cruise Control พร้อมระบบช่วยลดความเร็ว
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน
- ระบบนำทาง 3 มิติ
- ระบบไล่ฝ้ากระจก
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
- รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
รวมทั้งระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง และเชิงป้องกัน ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ BMW TwinPower เบนซิน 8 สูบ 4.4 ลิตร พลังกำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์ต่อ 530 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเพียง 3.7 วินาที แม้จะเร็วแรงแต่ยังคงความนิ่ง ขับได้ง่าย ซึ่งรุ่นนี้มีราคามือหนึ่งเริ่มที่ 9 – 12 ล้านบาท หากเป็นรถสปอร์ตมือสองราคาอยู่ที่ 7 – 9 ล้านบาท
5. BMW Z4
ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีความเป็นสปอร์ต และมีเสน่ห์แบบโรดสเตอร์ (Roadster) รถสปอร์ตมือสองอย่าง BMW Z4 จึงเป็นรุ่นที่ได้รับความสนใจไม่ใช่น้อย จัดว่าเป็นรถสปอร์ตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ดีไซน์ภายนอกออกแบบให้สะท้อนความดุดันเพิ่มขึ้นด้วยกระจังหน้าไตคู่ มีสปอยเลอร์พร้อมครีบระบายอากาศ ภายในห้องโดยสารมีความหรูหราผสมความสปอร์ต สะดวกสบายใช้งานได้ง่าย โดยปรับแต่งให้เข้ากับลักษณะการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ รวมถึง ยังมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น
- ติดตั้งชุดไฟ Ambient Light
- หน้าจอดิจิทัล 5.7 นิ้ว มาพร้อมเทคโนโลยี BMW Live Cockpit
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth
- ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ BMW Intelligent Personal Assistant สั่งการด้วยเสียง
- ระบบนำทาง
- ระบบเครื่องเสียงรอบทิศ Harman Kardon
- ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Active Cruise Control
- เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัย Crash Sensor
- ระบบนำรถจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลัง
BMW Z4 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร เร่งความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.4 วินาที อีกทั้งยังมีระบบ Driving Experience Control ที่ปรับแต่งสไตล์การขับรถได้ตามความต้องการ ทั้งโหมด Comfort หรือโหมด Sport และ Sport+ ที่รวดเร็ว เฉียบคมดั่งใจ รถสปอร์ตรุ่นนี้มีราคาอยู่ที่ 3.9 – 4.9 ล้านบาท หากเป็นรถ BMW มือสองราคาจะประมาณ 1 – 4.2 ล้านบาท
6. Ford Mustang
หากพูดถึงรถสปอร์ตสไตล์กล้ามโต ต้องนึกถึง Ford Mustang แน่นอน เป็นรถสัญชาติอเมริกัน มีดีไซน์ขนาดใหญ่โตแข็งแกร่ง ดูบึกบึน แต่ก็มีความโฉบเฉี่ยวที่บ่งบอกถึงความแรงอยู่ด้วยเช่นกัน และภายในตกแต่งด้วยสไตล์สปอร์ต ดูได้จากเบาะที่นั่งแบบรถแข่งจาก Recaro แบรนด์ชื่อดัง ผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานต่างๆ ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น
- ระบบเครื่องเสียง Shake Pro ลำโพง 12 ตัว
- ระบบแผนที่นำทาง
- ระบบไล่ฝ้ากระจกมองข้าง
- ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 5 แบบ
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
- ระบบ Cruise Control
- ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
- ระบบความบันเทิง SYNC3 Infotainment
- รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
- ติดตั้งกล้องมองหลัง และสัญญาณเตือนระยะจอด
- ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ
เครื่องยนต์ของ Ford Mustang เป็นเครื่องยนต์ EcoBoost 2.3 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร และขับสนุกขึ้นด้วยระบบช่วยเบิร์นยางล้อหลัง Electronic Line Lock ทั้งยังสามารถปรับระดับเสียงของท่อไอเสียได้ด้วยโหมด Good Neighbor Mode เพื่อความเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน ที่พิเศษคือมีแอปพลิเคชัน Tracl Apps ช่วยจำลองสถานการณ์ขณะขับรถในสนามแข่งอีกด้วย ส่วนนราคาเริ่มต้นรถมือหนึ่งรุ่นนี้อยู่ที่ 3.5 – 4.7 ล้านบาท ส่วนราคามือสองอยู่ที่ 2.3 – 3.9 ล้านบาท
7. Audi A5
Audi A5 รถสปอร์ตพรีเมียมจากสัญชาติเยอรมัน ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบหรู ทันสมัย มีความเป็นรถสปอร์ตคูเป้ ไฟหน้า Matrix LED และไฟ Daytime ที่ใช้สำหรับขับขี่ตอนกลางวัน ภายในมากับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีล้ำสมัยผสานเข้ากับการใช้งานต่างๆ ภายในรถ เช่น
- ระบบจดจำบันทึกตำแหน่งที่นั่ง
- ระบบควบคุมอุณภูมิอัตโนมัติ
- ระบบ MMI Radio Plus
- ระบบ Audi Smartphone Interface
- ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control
- หน้าจอแสดงข้อมูลการขับแบบ Virtual Cockpit Plus
- ตกแต่งด้วยไฟ Ambient Light
- ระบบเสียง 3 มิติ
- ระบบ Advance Key พร้อมปุ่ม Start/Stop เครื่องยนต์
Audi A5 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid 40 TFSI 2.0 ลิตร พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง ทำงานคู่กันกับเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic แบบ 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 7.3 วินาที ด้วยอัตราเร่งดีเยี่ยม เร่งเครื่องได้ดั่งใจ จึงเป็นรถรุ่นที่ขับสนุก ช่วงล่างแข็งแรง ยึดเกาะถนนได้ดี ไปได้หมดทั้งพื้นที่เนินหรือสูงชัน ทั้งยังมีระบบกันสะเทือน โดยรุ่นนี้มีราคามือหนึ่ง 2.6 – 3.5 ล้านบาท แต่มือสองจะมีราคาประมาณ 900,000 – 2.8 ล้านบาท
8. Audi TT
รถสปอร์ตสมรรถนะเยี่ยมอย่าง Audi TT อาจเข้าไปอยู่ในใจของใครหลายคน มีเอกลักษณ์ด้วยรูปทรงที่เหมือนจะดูอ้วนแต่ก็แรงเร็ว โฉบเฉี่ยวตามสไตล์รถสปอร์ตสำหรับคนในเมือง มีให้เลือกทั้งแบบ Coupe และแบบ Roadster ใช้การออกแบบตัวรถให้แหวกอากาศได้อย่างดุดันแบบ S line โดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ ส่วนภายในห้องโดยสารออกแบบอย่างสวยงาม ประณีตเรียบง่าย แต่ผสานเทคโนโลยีฟังก์ชันใช้งานอย่างลงตัว เช่น
- หน้าจอมาตรวัดดิจิทัลแบบ Virtual Cockpit
- ระบบควบคุมการขับขี่ Audi Drive Select
- ระบบปรับระยะส่องไฟหน้า
- ระบบไล่ฝ้ากระจก
- ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต
- ระบบนำทาง
- ระบบจดจำบันทึกตำแหน่งที่นั่ง
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
- ระบบ Audi Smartphone Interface
- รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
ความแรงของ Audi TT มาจากเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 370 นิวตันเมตร ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อีกหนึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ คือ วิสัยทัศน์การมองขณะเดินทางที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะระบบ Virtual Cockpit ที่แม้ในวันที่แดดแรงจัดจนรบกวนการมอง ก็สามารถมองเห็นได้ชัด ทั้งเทคโนโลยีตัวช่วยขับขณะเปลี่ยนเลนอย่าง Audi Side Assist ซึ่งรถรุ่นนี้ราคา 3.2 – 4.6 ล้านบาท หากสนใจรถสปอร์ตมือสองรุ่นนี้มีราคาอยู่ที่ 800,000 – 3 ล้านบาท
9. Mazda MX-5
รถสปอร์ตแบบเปิดประทุนจากฝั่งเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น Mazda MX-5 ดึงดูดสายตาด้วยหลังคาเปิดประทุนระบบไฟฟ้า ดีไซน์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ต ออกแบบตามแนวคิดของดีไซน์เนอร์ชื่อดัง จินบะ อิไต โดยเอาท่วงท่าการเดินของมนุษย์มาเป็นต้นแบบการพัฒนา ซึ่งตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ ทั้งรูปลักษณ์ และสมรรถนะการขับขี่ ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยความเรียบง่าย แต่ก็แฝงความเป็นสปอร์ต เก็บเสียงได้ค่อนข้างดี แต่เมื่อเปิดประทุนก็สามารถจัดการเสียงลมที่วนในห้องโดยสารได้ดีเช่นกัน มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน เช่น
- พวงมาลัยติดตั้งระบบ Padding Paddle Shift
- เทคโนโลยี Mazda Connect ช่วยอำนวยความสะดวกในทุกการติดต่อ
- หน้าจอสี Center Display 7 นิ้ว
- ระบบเครื่องเสียงคุณภาพ 9 ตัวของ Bose
- รองรับการใช้งาน Apple CarPlay
- ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
- ปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติขณะเข้าโค้ง KPC (Kinemetic Posture Control)
- ระบบ Cruise Control
ส่วนเครื่องยนต์ของ Mazda MX-5 เป็นเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV 5G 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า มีแรงบิด 205 นิวตันเมตร ได้รับพัฒนาให้มีความแรง ควบคู่ไปกับการประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้วยน้ำหนักรถที่เบา ร่วมกับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้รถสปอร์ตรุ่นนี้ขับง่าย มีความคล่องตัว สามารถเป็นรถที่ขับในชีวิตประจำวันได้อย่างสบายๆ หากสนใจราคามือหนึ่งของ Mazda MX-5 อยู่ที่ 2.9 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นรถสปอร์ตมือสองรุ่นนี้มีราคาที่ 1 – 2 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่ารถสปอร์ตมือสองที่ได้แนะนำไปนั้น มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถสปอร์ตได้ และมีราคาถูกกว่ามือหนึ่งอีกด้วย ทั้งยังไม่ต้องกังวลว่ามูลค่ารถจะตกลง เพราะรถสปอร์ตมือสองได้รับความนิยมมาโดยตลอด ซึ่งส่วนใหญ่รุ่นรถที่แนะนำไปในบทความ นอกจากจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานที่อำนวยความสะดวกสบายครบครัน ช่วยให้การขับขี่เต็มไปด้วยความสนุกแล้ว ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถหรูมาไว้ใช้งาน จะใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกับครอบครัว หรือเพิ่มความภูมิฐานให้สมกับระดับผู้บริการก็ได้เช่นกัน สุดท้ายสำหรับใครที่กำลังมองหารถสปอร์ตมือสองดีๆ ราคาเบาๆ สักคันมาใช้ Car Hero สามารถช่วยคุณได้ เพราะเราเป็นศูนย์รวมรถมือสองคุณภาพดี และเสนอราคาที่ดีที่สุดเทียบรุ่นต่อรุ่น รถทุกคันต้องผ่านการตรวจสอบสภาพ ทำให้คุณแน่ใจได้ว่าจะได้มือสองที่มีคุณภาพไปใช้ได้อย่างแน่นอน