สอนวิธีจัมพ์แบตรถยนต์แบบเข้าใจง่ายสุด อ่านแล้วทำเองได้ ไม่ง้อช่าง
11 กุมภาพันธ์ 2024

แบตเตอรี่เป็นส่วนสำคัญของรถยนต์เป็นอย่างมาก เพราะแบตเตอรี่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางนำจ่ายไฟให้ส่วนต่างๆ ของรถยนต์ หากแบตเตอรี่เสื่อม หรือแบตหมด อาจทำให้รถมีปัญหาระหว่างขับเคลื่อน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ สาเหตุที่ระบบไฟเลี้ยว กระจกไฟฟ้า แอร์ หรือเสียงแตร สามารถทำงานได้ ก็ล้วนมาจากแบตเตอรี่ทั้งนั้น นับได้ว่าแบตเตอรี่แทบจะเป็นหัวใจของรถเลยก็ว่าได้

 

การที่แบตเตอรี่หมด หรือเสื่อมนั้นอาจเกิดจากการที่ลืมปิดไฟ หรือเปิดแอร์รถยนต์ทิ้งไว้ ซึ่งการจะแก้ปัญหาแบตรถยนต์หมดนั้น ทำได้ด้วยการจัมพ์แบตรถยนต์ แต่บางคนคงคิดว่าจัมพ์แบตรถยนต์คงต้องเข้าศูนย์ เข้าอู่จะต้องเสียเงินเยอะแน่ๆ เลย แต่จริงๆ แล้วการจัมพ์แบตรถยนต์นั้นสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน แค่ทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง และศึกษาข้อควรระวังให้ครบถ้วน เท่านี้ก็ไม่ต้องเข้าอู่ แล้วก็ทำอยู่ที่บ้านได้สบายๆ

 

ส่วนวิธีจัมพ์แบตรถยนต์นั้นจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

 

ดับเครื่องยนต์ก่อน

 

1. ดับเครื่องยนต์ก่อน

ขั้นแรกที่จะต้องรู้ในการจัมพ์แบตรถยนต์ด้วยตัวเอง ก็คือ คุณจะต้องหารถที่มีแบตเตอรี่สภาพดี กล่าวคือสามารถสตาร์ทได้ตามปกติ เพื่อมาเป็นตัวช่วยในการนำจ่ายประจุไฟฟ้าไปยังรถที่แบตหมด โดยนำมาจอดห่างกับรถที่แบตเตอรี่หมดประมาณ 0.5 - 1 เมตร และจอดอยู่ให้ห่างพอๆ กับความยาวของสายจั๊มแบต ไม่แนะนำให้จอดรถทั้ง 2 คันห่างกันจนเกินไป เพราะต้องใช้สายจัมพ์แบตที่ยาวตามไปด้วย ซึ่งมันจะทำให้ประสิทธิภาพในการจ่ายไฟนั้นน้อยลง 

 

จากนั้นก็ทำการดับเครื่องทั้ง 2 คัน ปิดปุกรณ์ไฟฟ้าให้หมด เช่น ไฟหน้ารถ แอร์ เครื่องเสียง เป็นต้น เพื่อป้องกันประกายไฟซึ่งอาจทำให้เกิดระเบิดขณะจัมพ์แบตรถได้ เพราะเวลาที่แบตเตอรี่ทำงานนั้น จะเกิดการสะสมของก๊าซไฮโดรเจน หากมีประกายไฟนิดนึงก็เป็นเหตุให้เกิดระเบิดได้เลย ดังนั้นต้องระมัดระวังในขั้นตอนนี้ให้ดี

 

 

เตรียมสายจัมพ์แบต

 

2. เตรียมสายจัมพ์แบต

สายจัมพ์แบตเป็นสิ่งที่ควรมีติดไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างเช่น แบตเตอรี่รถหมด โดยในปัจจุบันก็มีที่จัมพ์แบตรถยนต์พกพาให้หาซื้อได้ตามทั่วไป ซึ่งสายจัมพ์แบตจะมีอยู่ 2 เส้นด้วยกันโดยสายจัมพ์แบตสีแดงจะเป็นประจุขั้วบวก และสายจัมพ์แบตสีดำจะเป็นประจุขั้วลบ (บางครั้งก็เป็นสีเขียว) ความยาวของสายจัมพ์แบตเตอรี่นั้นจะต้องพอเหมาะสำหรับพ่วงไปยังรถอีกคันนึง เพื่อกันไม่ให้รถทั้ง 2 คัน มาจอดชิดกันมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดประกายไฟได้

 

ต่อสายพ่วงแบต

 

3. ต่อสายพ่วงแบต

เมื่อเตรียมสายจัมพ์แบตเตอรี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว วิธีจัมพ์แบตรถยนต์ขั้นต่อมาก็คือการเริ่มต่อสายพ่วงแบต โดยเริ่มจากนำสายจัมพ์แบตสีแดงมาต่อเข้ากับขั้วบวกของรถที่แบตหมด และปลายสายสีแดงให้ต่อเข้ากับขั้วบวกรถที่นำมาเพื่อช่วยจ่ายไฟ

หลังจากนั้นให้นำสายจัมพ์แบตสีดำมาต่อเข้ากับขั้วลบของรถที่นำมาช่วยจ่ายไฟ และปลายสายสีดำให้นำมาหนีบกับโลหะในเครื่องยนต์ เพื่อเป็นการสร้างระบบกราวน์ของแบตเตอรี่ ซึ่งระบบกราวน์เป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแรงดันไฟฟ้าให้กับรถยนต์ จากนั้นให้ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที ห้ามนำสายสีดำมาพ่วงกับขั้วลบของรถที่แบตหมดเด็ดขาด เพราะอาจเกิดระเบิดได้

 

สตาร์ทเครื่องยนต์

 

4. สตาร์ทเครื่องยนต์

หลังจากต่อสายแบตเตอรี่ตามขั้วถูกต้องทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อมาในวิธีจัมพ์แบตเตอรี่รถยนต์ คือ สตาร์ทเครื่องของรถที่นำมาช่วยจ่ายไฟประมาณ 3-4 นาที แล้วเร่งเครื่องเป็นช่วงๆ เพื่อให้เกิดการจ่ายไฟและการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า

หลังจากนั้นให้สตาร์ทเครื่องคันที่แบตหมด ปล่อยไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วเร่งเครื่องเบาๆ ในอัตรา 1,500-2,000 รอบต่อนาที เพื่อตรวจเช็กดูว่ามีประจุไฟฟ้าเข้ามาหลังจากชาร์จแบตใหม่หรือเปล่า

และต้องระวังห้ามสตาร์ทรถ 2 คันพร้อมกัน เพราะอาจเกิดระเบิดได้ หรือวงจรเสียหาย

 

ถอดสายพ่วงแบต

5. ถอดสายพ่วงแบต

ในวิธีจัมพ์แบตเตอรี่รถยนต์นั้น เมื่อทำการชาร์จแบต และเช็กเรียบร้อยแล้วว่ามีแบตเข้ารถที่แบตหมด ขั้นตอนการถอดสายแบตเตอรี่ก็ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและต้องระมัดระวังเช่นกัน การถอดสายแบตไม่ใช่ว่าจะถอดเส้นไหนก่อนก็ได้ การถอดสายแบตนั้นมีลำดับขั้นตอน ดังนี้

  1. ถอดสายแบตสีดำจากโลหะในเครื่องยนต์จากรถที่แบตหมด
  2. ถอดสายแบตสีดำออกจากขั้วลบของรถคันที่นำมาช่วยจ่ายไฟ
  3. ถอดสายแบตสีแดงออกจากขั้วบวกของรถคันที่นำมาช่วยจ่ายไฟ
  4. ถอดสายแบตสีแดงออกจากขั้วบวกของรถคันที่แบตหมด

 

ในการถอดสายแบตเตอรี่ต้องระวังไม่ให้สายจัมพ์ที่ต่างขั้วมาสัมผัสกัน เพราะอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ หรืออาจเกิดความเสียหายกับฟิวส์หรือวงจรอื่นๆ ในรถยนต์ได้

เมื่อทำการจัมพ์แบตรถยนต์ด้วยตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้หาเวลานำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ เพื่อตรวจสอบสภาพรถยนต์ และสภาพแบตเตอรี่ ว่าต้องทำการเปลี่ยนใหม่หรือไม่

 

สิ่งที่ต้องระวัง ถ้ายังอยากจัมพ์แบตรถยนต์เองได้อย่างปลอดภัย

ถึงแม้ว่าวิธีจัมพ์แบตรถยนต์นั้นจะไม่ยาก แต่ถ้าไม่ทำให้ถูกต้อง อาจเกิดอันตรายขึ้นได้เช่นกัน เพราะงั้นมาดูกันว่าเมื่อเราต้องจัมพ์แบตรถยนต์ด้วยตัวเองจะต้องระวังอะไรบ้าง ดังนี้

  • ห้ามสตาร์ทรถ 2 คันพร้อมกัน เนื่องจากแบตของอีกคันนั้นยังไม่สมบูรณ์ อาจยิ่งทำให้แบตเสื่อม และอาจเกิดระเบิดขึ้นได้
  • ไม่พ่วงสายสีดำกับขั้วลบของรถที่แบตหมด เพื่อกันแบตระเบิด
  • ห้ามสูบบุหรี่ หรือจุดไฟ หรืออะไรที่ทำให้เกิดประกายไฟ เพราะอาจทำให้เกิดระเบิดได้ เพราะเวลาที่แบตเตอรี่ทำงาน จะเกิดการสะสมของก๊าซไฮโดรเจน
  • เวลาจัมพ์แบตรถยนต์ให้สวมอุปกรณ์กันใบหน้า ดวงตา ใส่ถุงมือ เพราะว่าในแบตเตอรี่นั้นมีน้ำกรดที่เป็นสารกัดกร่อน อาจจะกระเด็นเข้าตา หรือโดนมือ แล้วทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
  • ระวังอย่าให้แบตเตอรี่เอียง เพราะน้ำกรดในแบตเตอรี่อาจไหลออกมาโดนร่างกายเราได้
  • ระวังไม่ให้ปลายสายจัมพ์แบตต่างขั้วมาสัมผัสกัน เพราะจะทำให้เกิดการลัดวงจรได้

 

 

อาการแบตเตอรี่รถเสื่อมที่สามารถสังเกตได้

 

หากรถยนต์ของคุณมีอาการเหล่านี้นั้นอาจแปลว่าแบตเตอรี่ของคุณนั้นเริ่มเสื่อมแล้ว เช็กข้อมูลต่อไปนี้ให้ชัวร์ หากมั่นใจแล้วก็ให้จัมพ์แบตรถยนต์ตามวิธีที่แนะนำได้ต่อไป

  • สตาร์ทรถติดยากขึ้นในช่วงเช้า หรือในตอนที่ต้องจอดรถทิ้งไว้นานๆ
  • ระบบไฟต่างๆ เริ่มทำงานได้ไม่ค่อยดี ทำงานผิดปกติ ไฟไม่ค่อยสว่างเหมือนเดิม เช่น ไฟเลี้ยวเดี๋ยวติด เดี๋ยวดับ ไฟหน้าสว่างน้อย
  • กระจกไฟฟ้าทำงานได้ช้า
  • แอร์รถไม่เย็น
  • รวมถึงเสียงแตร เมื่อบีบแตรแล้วรู้สึกเสียงมันผิดปกติ นั่นก็อาจมาจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ
  • ได้กลิ่นเหม็นๆ เหมือนไข่เน่า อาจเกิดจากน้ำในแบตเตอรี่รั่ว หรือชำรุด

หากรถของคุณมีอาการตามที่ว่ามานี้ แน่นอนว่าถึงเวลาที่จะต้องจัมพ์รถยนต์แล้ว หากปล่อยไว้ ไม่ทำอะไร อาจเป็นเหตุให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ต้องแก้ไขกันไปยาวๆ แน่นอน

 

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถเสื่อมเร็วขึ้น

หลังจากที่ได้ทราบวิธีจัมพ์แบตรถยนต์ และวิธีการสังเกตการเสื่อมของแบตเตอรี่ของรถยนต์ไปแล้ว ถึงเวลามารู้จักสาเหตุของแบตเสื่อมกันบ้าง เพื่อที่จะได้ระมัดระวังพฤติกรรมที่จะยิ่งทำให้แบตรถยนต์นั้นเสื่อมไวเกินควร

 

การที่แบตเตอรี่เสื่อมนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับตัวแบตเตอรี่ที่เราใช้ ไปจนถึงทั้งพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์ และสภาพแวดล้อมที่รถอยู่ ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ควรรู้ มีดังนี้

  • ใช้แบตที่ไม่เหมาะกับรถตัวเอง เช่น แอมป์น้อยไป เมื่อเทียบสัดส่วนกับกระแสไฟไดชาร์จ จะกลายเป็น Over Charge เป็นเหตุให้ไฟแบตเต็มเร็วไป ส่งผลให้แบตร้อน และทำให้แบตเสื่อมเร็วได้ในที่สุด
  • เปิดไฟรถทิ้งไว้ หรือลืมปิดไฟรถตอนจอด นั่นก็คือการใช้ไฟจากแบตเตอรี่อยู่ตลอด การใช้งานอย่างต่อเนื่องจะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนัก แบตจะเสื่อมได้เร็ว ตัวแบตเตอรี่บางตัวถูกออกแบบมาให้ปิดอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้ แต่ถ้าเกิดว่าเมื่อไม่ได้ใช้ระบบปิดอัตโนมัติไม่ทำงาน นั้นอาจแสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อมแล้ว
  • จอดรถทิ้งไว้นานเกินไป ซึ่งจะทำให้แผ่นตะกั่วมีเขม่าตกตะกอนเกาะอยู่ที่แผ่นธาตุ จะทำให้กักเก็บกระแสไฟได้ไม่ดี ถ้าเกิดว่ามีความจำเป็นจะต้องจอดนานๆ แนะนำให้ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ออกไว้เลยหากรู้ว่าไม่ค่อยได้ใช้รถยนต์ ให้กำหนดวันไว้เพื่อหาเวลาสตาร์ทรถไว้สัก 20 นาที ประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
  • สภาพอากาศผิดปกติ อย่างอากาศหนาวจัด หรือร้อนจัด ก็มีส่วนทำให้แบตเตอรี่รวนได้ แต่สาเหตุนี้ไม่มีผลกับแบตเตอรี่ที่ยังใหม่อยู่ จะมีผลแค่กับแบตเตอรี่ที่เก่าแล้ว เพราะเมื่อผ่านการใช้งานมานานแบตเตอรี่ก็จะไวต่อสัมผัสต่างๆ ได้ง่าย จึงทำให้เสื่อมเร็วยิ่งขึ้น
  • การปรับแต่งรถเยอะจนเกินไป หรือเพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถมากเกินไป อย่างเช่น มีทีวีหลายจอ ติดพัดลมเพิ่ม มีลำโพงรอบรถ ซึ่งการที่มีสิ่งนี้มากเกินไปจะทำให้แบตเตอรี่ชาร์จไฟบ่อยกว่าปกติ ยิ่งจะทำให้แบตเสื่อมได้เร็ว
  • การเชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่หลวม หรือแบตเตอรี่ที่มีสนิม ซึ่งจะทำให้การทำงานของมอเตอร์ตัวสตาร์ท เกิดการดึงของกระแสไฟจากแบต และระบบชาร์จ จนทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็ว

 

พฤติกรรมใครที่เข้าข่ายจะเป็นสาเหตุที่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ให้ลองปรับพฤติกรรม หรือเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาแบตเสื่อมเร็วขึ้น เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ แถมยังถนอมประสิทธิภาพแบตเตอรี่ ขับรถได้ปลอดภัย สบายใจมากยิ่งขึ้น 

 

การจัมพ์แบตรถยนต์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องระวัง แต่ก็ไม่ได้ยากเกินที่จะพยายาม ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองตามวิธีจัมพ์แบตรถยนต์ นอกจากการจัมพ์แบตเตอรี่รถยนต์แล้ว และเมื่อได้รู้ว่าต้องจัมพ์แบตรถยนต์ยังไงแล้ว ก็ควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถบ่อยๆ เช็กสภาพแบตเตอรี่รถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน และการเดินทางที่ปลอดภัยไร้กังวล

11 กุมภาพันธ์ 2024