7 เช็กลิสต์เช็กรถก่อนเดินทางไกล ปลอดภัย ไม่มีเช็กอินอู่ซ่อมแน่นอน
16 กุมภาพันธ์ 2024

วันหยุดยาวทีไรก็คงหนีไม่พ้นขนกระเป๋าขึ้นรถเพื่อเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว หรือกลับบ้านต่างจังหวัดที่ต้องขับขี่เป็นเวลาหลายชั่วโมง การเดินทางไกลลักษณะนี้ถ้ามีปัญหาจากยานพาหนะขึ้นมากลางทางย่อมทำให้เซ็งกันทั้งรถแน่นอน เพราะใครที่ตั้งใจจะไปพักกายก็คงอยากจะเที่ยวภูเขาทะเลสวยๆ ไม่ได้อยากไปเที่ยวอู่ซ่อมรถ ส่วนใครที่กลับบ้านก็คงไม่อยากจะแวะซื้อของฝากข้างที่ทำงานช่างหรอกใช่ไหม ยังไม่นับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นอาจถึงขั้นเป็นอันตรายกับชีวิตอย่างไม่คาดคิดได้

 

การเช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกลนั้นจึงสำคัญอย่างที่สุด เพราะไม่ใช่แค่ทำให้การเดินทางไกลสะดวกสบายไม่ต้องจอดหัวเสียข้างถนน แต่ยังเป็นการตรวจสอบด้วยว่าสภาพรถดีพอที่จะพาผู้โดยสารเดินทางถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย บทความนี้จะมาแนะนำวิธีเช็กรถก่อนเดินทางไกล ฉบับมั่นใจไม่ต้องแวะอู่ แถมปลอดภัยกว่าที่เคย ไปดูกันเลย! 

 

แบตเตอรี่รถยนต์อย่าเสื่อม

1. แบตเตอรี่รถยนต์อย่าเสื่อม

แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานที่มีหน้าที่จ่ายไฟไปยังระบบต่างๆ ของรถ ถ้าแบตเตอรี่เสื่อม จะทำให้รถสตาร์ทไม่ได้ ระบบอื่นๆ เช่น ระบบไฟ และระบบปรับอากาศก็ไม่สามารถทำงานได้เช่นกัน ดังนั้น ควรตรวจสอบแบตเตอรี่ให้ชัวร์เพื่อป้องกันปัญหาระหว่างการเดินทาง มาดูวิธีง่ายๆ ในการเช็กแบตเตอรี่รถก่อนเดินทางไกลกันสักหน่อยดีกว่า 

ดูอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 1–3 ปี หรือ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อาทิ การเลือกใช้แบตเตอรี่ พฤติกรรมการใช้รถ สภาพอากาศ ฯลฯ ก่อนเริ่มออกเดินทางจึงควรตรวจสอบว่าแบตเตอรี่ใช้งานมากี่ปีแล้ว ใกล้รอบเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือทำท่าจะเสื่อมแล้วหรือยัง โดยปกติรถที่ใช้งานมาไม่เกิน 1 ปี แบตเตอรี่มักยังไม่เริ่มเสื่อม แต่ถ้าใช้งานมาเกิน 1 ปีแล้วก็ควรเริ่มเช็กอาการเบื้องต้น โดยทดสอบว่ารถสตาร์ทไม่ติดหรือรถสตาร์ทติดยากหรือไม่ กรณีสตาร์ทติดเป็นบางครั้ง อาจแปลว่าแบตเริ่มใกล้หมดอายุแล้ว ทั้งนี้ ถ้ารถเริ่มสตาร์ทติดยาก ไม่ควรฝืนสตาร์ทต่อ เพราะอาจทำให้ไดชาร์จของรถมีปัญหาตามมา 

 

นอกจากนั้น หากระบบไฟในรถมีอาการแปลกๆ เช่น ไฟหน้าไม่สว่าง แอร์ไม่ค่อยเย็น เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น แสดงว่าแบตใกล้เสื่อมแล้วเช่นกัน สำหรับแบตเตอรี่แบบเติมน้ำได้ ควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่น และเติมน้ำกลั่นเพิ่มหากน้ำกลั่นลดลง อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่เห็นว่าแบตเตอรี่รถของตัวเองมีอาการน่าสงสัย และอยากรู้วิธีการตรวจสอบแบตเตอรี่ฉบับละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถคลิกเข้าไปอ่านบทความวิธีเช็กแบตเตอรี่เสื่อมได้เลย

เช็กสภาพแบตผ่านตาแมว

วิธีเช็กแบตรถก่อนเดินทางไกลอีกวิธีที่ทำได้ง่ายๆ คือการส่องผ่านตาแมว โดยปัจจุบันแบตเตอรี่จะมีช่องตาแมวติดไว้สำหรับให้ผู้ใช้เช็กสภาพแบตเตอรี่ได้โดยง่าย วิธีการสังเกตผ่านตาแมว มีดังนี้

 

สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้ตาแมวเป็นสีเขียว ขาว แดง 

  • สีเขียว หมายถึง แบตเตอรี่ยังมีกระแสไฟ เต็มปกติ 
  • สีขาว หมายถึง แบตเตอรี่กระแสไฟอ่อน ควรชาร์จไฟเพิ่ม 
  • สีแดง หมายถึง มีระดับน้ำที่ลดลง ให้เติมน้ำกลั่นเพิ่ม

 

สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้ตาแมว เป็นสีน้ำเงิน ขาว แดง 

  • สีน้ำเงิน หมายถึง แบตเตอรี่ยังมีกระแสไฟ เต็มปกติ 
  • สีขาว หมายถึง แบตเตอรี่กระแสไฟอ่อน ควรชาร์จไฟเพิ่ม 
  • สีแดง หมายถึง มีระดับน้ำที่ลดลง ให้เติมน้ำกลั่นเพิ่ม

 

สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้ตาแมว เป็นสีเขียว ขาว ดำ 

  • สีเขียว หมายถึง แบตเตอรี่ยังมีกระแสไฟ เต็มปกติ
  • สีดำ หมายถึง แบตเตอรี่กระแสไฟอ่อน ควรชาร์จไฟเพิ่ม
  • สีขาว หมายถึง แบตเตอรี่เสียแล้ว

เช็ดทำความสะอาดที่ขั้วแบต

นอกจากอายุการใช้งานและสภาพของแบตแล้ว การเช็กแบตรถก่อนเดินทางไกลต้องอาศัยการสังเกตที่ขั้วแบตซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อแบตเตอรี่ด้วย นั่นเพราะการเชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่ดีก็มีผลกับประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่เช่นกัน หากการเชื่อมต่อไม่ดีอาจทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ รวมไปถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ  ทำงานได้ไม่ดีไปด้วย ดังนั้น ควรหมั่นตรวจสอบความสะอาดของขั้วแบตเตอรี่อยู่เสมอ ถ้าเห็นสิ่งสกปรกอย่างคราบขี้เกลือสีขาวบนขั้ว ต้องขจัดคราบออก และเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด 

 

ใบปัดน้ำฝนอย่าฝืด

2. ใบปัดน้ำฝนอย่าฝืด

ทัศนวิสัยขณะขับรถที่ดีเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยให้บังคับรถได้อย่างปลอดภัย ยิ่งช่วงนี้หน้าฝนยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เราจึงต้องคอยตรวจสอบใบปัดน้ำฝนให้พร้อม อย่าปล่อยให้ฝืด เสื่อม หรือปัดแล้วทำให้กระจกยิ่งมัว วิธีการตรวจสอบให้ใช้มือลูบคมที่ใบปัดเบาๆ หากสัมผัสแล้วไม่เรียบ สะดุด นั่นเป็นสัญญาณว่ายางที่ใบปัดน้ำฝนเริ่มเสื่อม ให้สังเกตต่อว่าใบปัดน้ำฝนกวาดน้ำบนกระจกได้หมดจดหรือไม่ หากปัดน้ำฝนแล้วเป็นเส้น ทิ้งคราบไว้เป็นอนุสรณ์บนกระจก แถมมีเสียงเหมือนกระจกโดนกรีดตามมาด้วยก็แสดงว่ายางเสื่อมแล้วจริงๆ และหากเห็นรอยบนกระจก แปลว่ายางหายไปเกลี้ยง แบบนี้เข้าขั้นโคม่า ต้องรีบเปลี่ยนใบปัดอันใหม่ด่วน ไม่อย่างนั้นในอนาคตจะได้เปลี่ยนกระจกด้วยแน่ๆ 

 

วิธีเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนก็ง่ายๆ เพียงยกใบปัดขึ้นจากผิวกระจก จากนั้นกดแถบล็อกเพื่อนำใบปัดอันเก่าออกจากก้าน กดแถบล็อกแล้วใส่ใบปัดอันใหม่เข้าไปเป็นอันจบ ส่วนที่ปัดน้ำฝนของใครที่ยังใช้งานดีไม่มีที่ติ ก็อย่าลืมทำความสะอาดสักนิดก่อนออกเดินทาง โดยปัดเศษฝุ่นออกและเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ เท่านี้ก็ช่วยให้ใช้งานได้ดีขึ้นแล้ว

 

ระบบไฟอย่าแผ่ว

3. ระบบไฟอย่าแผ่ว

ระบบไฟฟ้าในที่นี้ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้ารถ ไฟท้ายรถ หรือไฟที่โชว์บนหน้าปัด ก็ล้วนสำคัญทั้งนั้น เพราะสัญลักษณ์จากไฟจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุ ยิ่งเป็นการเดินทางตอนกลางคืน ถ้าไฟสว่างไม่พอก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้น ควรตรวจระบบไฟทุกส่วน ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี๊ยว และไฟหน้าปัดรถ 

 

สำหรับวิธีเช็กไฟรถก่อนเดินทางไกล ให้ทดสอบไฟหน้ารถ ไฟเบรค ไฟสัญญาณทุกดวงว่าใช้งานได้ปกติไหม สว่างพอไหม กะพริบหรือเปล่า ในกรณีที่รถมีอายุใช้งานมาก อาจมีปัญหาเรื่องไอน้ำเข้าไปเกาะได้ ให้แก้ด้วยการใช้กาวซิลิโคนแบบใสประสานรอยต่อ แต่ถ้ามีน้ำเข้าไปขัง ต้องถอดโคมออกมาเทน้ำออกให้หมดก่อน

 

หม้อน้ำอย่ารั่ว

4. หม้อน้ำอย่ารั่ว

วิธีเช็กรถก่อนเดินทางไกลอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามคือหม้อน้ำรถยนต์ เนื่องจากหม้อน้ำเป็นระบบที่ช่วยระบายความร้อนส่วนเกินจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ถ้าหม้อน้ำรถยนต์มีปัญหาในการระบายความร้อนจนเครื่องยนต์ร้อนเกินไปหรือเรียกว่าโอเวอร์ฮีท (overheat) ก็จะเกิดอันตรายได้ ดังนั้น ควรตรวจสภาพหม้อน้ำของอยู่เสมอ โดยลองเปิดฝาหม้อน้ำหรือถังพักน้ำ ดูสีและสภาพว่ายังดีอยู่ไหม ดูระดับน้ำว่าลดลงไปมากน้อยแค่ไหน ใครที่สงสัยว่าหม้อน้ำเริ่มผิดปกติ ก็สามารถเข้าไปดูวิธีสำรวจหม้อน้ำอย่างละเอียดได้ในบทความ วิธีการตรวจเช็กระดับในหม้อน้ำ ทั้งนี้ การตรวจดูหม้อน้ำควรทำตอนที่เครื่องยนต์ไม่มีความร้อนเพื่อป้องกันอันตราย 

 

ล้อและยางรถยนต์อย่าสึก

5. ล้อและยางรถยนต์อย่าสึก

ล้อและยางรถยนต์ต้องรองรับน้ำหนักตัวรถ รวมถึงช่วยลดแรงสั่นสะเทือน ลดการกระทบกระทั่งที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งของบนรถได้ ยางรถยนต์ที่ดีจึงทำให้การขับเคลื่อนราบรื่น ขณะที่ยางไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้รถเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ ดังนั้นต้องเช็กยางรถก่อนเดินทางไกลเสมอ แล้วต้องเช็กอะไรกันบ้าง มาดูกัน

ความเสื่อมของดอกยาง

ดอกยางรถยนต์ทำหน้าที่ช่วยรีดน้ำเวลาที่รถต้องขับเคลื่อนบนถนนที่เปียกหรือมีน้ำขัง ทำให้ผิวยางยังเกาะอยู่บนถนนได้ ถ้าดอกยางเสื่อมสภาพอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุรถเสียหลักลื่นได้ วิธีการดูว่าดอกยางเสื่อมหรือยังนั้นให้สังเกตที่ความลึกของดอกยาง ปกติแล้วดอกยางใหม่จะลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่ถ้าดอกยางเหลือไม่ถึง 3 มิลลิเมตร ควรเปลี่ยนยางทันที

รอยร้าว แก้มยางแตก

ยางรถยนต์แรกๆ จะมีความเงาและนิ่มในระดับนึง แต่ทุกอย่างย่อมมีเสื่อมสภาพตามเวลา สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่าว่ายางมีรอยร้าว หรือแก้มยางแตกฉีกขาดหรือไม่ ถ้ามีควรเปลี่ยนทันที เพราะอาจมีปัญหาตามมาได้ เช่น ยางระเบิดระหว่างเดินทาง 

ยางบวม ปูดนูนผิดปกติ

ยางบวมเกิดจากโครงสร้างภายในผ้าใบและเส้นใยฉีกขาด ส่วนใหญ่จะเกิดที่แก้มยางซึ่งเหลือเพียงชั้นยางที่ยืดหยุ่นสูงหุ้มด้านนอกไปเจอกับแรงดันภายใน ทำให้โป่ง พองบวม ถ้าให้รถวิ่งต่อ ความร้อนในล้อจะมากขึ้น อาจดันไปถึงจุดที่ทำให้ระเบิดได้ ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก หากสังเกตเห็นว่ายางบวมหรือนูนผิดปกติ ควรรีบเปลี่ยนยางทันที

เติมลมยางให้พอดี

การเติมลมยางเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย โดยปริมาณลมยางที่พอดีจะถูกกำหนดไว้ให้อยู่ในคู่มือประจำรถแต่ละคัน หากมีล้อไหนที่ลมหายไปเยอะผิดปกติ ควรรีบหาสาเหตุ มียางรั่วหรือเปล่า ถ้ามีให้รีบปะทันที นอกจากนั้น ควรเติมลมก่อนเดินทางเสมอ ยิ่งเป็นการเดินทางไกลยิ่งต้องเติมลมยางให้แข็งกว่าปกติ เพราะเวลารถวิ่ง ยางถูกแรงกระทำ ส่งผลให้เกิดการขยับตัวไปมา เกิดความร้อนสะสม บวกกับในการเดินทางไกลต้องใช้ความเร็วและขับขี่เป็นเวลานานๆ ทำให้ความร้อนยิ่งสะสมเพิ่มจนทำให้ยางหมดไว และมีโอกาสระเบิดได้ 

 

ระบบเบรคอย่าบ้ง

6. ระบบเบรคอย่าบ้ง

อีกหนึ่งจุดที่ขาดไม่ได้ในการเช็กรถก่อนเดินทางไกลคือระบบเบรก เพราะแน่นอนว่าถ้าเบรคเสื่อมสภาพก็จะเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเป็นอย่างมาก มาดูกันว่าต้องเช็กอะไรบ้าง

ผ้าเบรค

ผ้าเบรคกับยางมีความสำคัญพอๆ กัน เพราะต่างต้องช่วยกันทำหน้าที่ชะลอความเร็วรถ เบรคจะทำงานได้ดีไหมขึ้นอยู่กับผ้าเบรค จุดนี้ตรวจสอบได้ด้วยการลองเหยียบเบรคแล้วสังเกตเสียงว่าดังผิดปกติไหม หรือแรงกดตอนเหยียบเบรคนั้นเหมือนเดิมไหม ถ้าเหยียบได้ลึกมากกว่าเดิม นั่นแปลว่าผ้าเบรคอาจเริ่มเสื่อม ทำให้มีช่องว่างระหว่างผ้าเบรคกับจานเบรค ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่แล้ว

จานเบรค

จานเบรคที่ดีจะต้องไม่คด ไม่สั่น ถ้าเกิดมีอาการเหล่านี้ แสดงว่ามีความผิดปกติ สาเหตุอาจมาจากการสึกหรอจากการเบรค จนทำให้เกิดฝุ่น และสิ่งสกปรกที่จานเบรค ดังนั้น ควรเช็ดขจัดสิ่งสกปรกด้วยน้ำยาเฉพาะสำหรับทำความสะอาดจานเบรค ถ้าตัวจานเบรคเกิดคดขึ้นมา แนะนำให้เปลี่ยนจานเบรคใหม่จะดีที่สุด เพื่อการเดินทางที่ราบรื่น

เติมน้ำมันเบรค

น้ำมันเบรคมีระดับ Min กับ Max ระดับปกติจะต้องไม่เกิน Max และต้องไม่ต่ำกว่า Min อีกทั้งระบบเบรคเป็นระบบปิด น้ำมันไม่สามารถระเหยออกไปเองได้ เว้นแต่เกิดการรั่วไหล ดังนั้น นอกจากการเติมน้ำมันเบรกให้เหมาะสมแล้ว ควรสังเกตด้วยว่าน้ำมันเบรกลดลงผิดปกติหรือไม่ หากระดับน้ำมันเบรกดูผิดวิสัยให้รีบหาสาเหตุ การหมั่นสังเกตว่าที่สายเบรคมีคราบสกปรกจากน้ำมันหรือไม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยถ้าเห็นอาการผิดปกติให้นำรถเข้าซ่อมทันที
 

ช่วงล่างอย่าหลวม

7. ช่วงล่างอย่าหลวม

หากไม่ใช่ช่างแล้วการตรวจช่วงล่างนั้นอาจทำได้ยาก แต่คาร์ฮีโร่จะมาบอกวิธีการสังเกตอาการเบื้องต้นง่ายๆ ที่จะบ่งบอกได้ว่าช่วงล่างของรถมีปัญหาหรือไม่ มาดูกันว่าวิธีเช็กช่วงล่างรถก่อนเดินทางไกลมีอะไรบ้าง

  • เช็กพวงมาลัยรถว่าอยู่ตรงไหม ถ้ารถแล่นไปโดยไม่ขยับพวงมาลัย รถไปกินเลนซ้ายหรือเลนขวาไหม ถ้ามีอาการเอียงไปด้านใดด้านนึง บูชปีกนกอาจจะมีปัญหา
  • ขับรถไปแล้วได้ยินเสียงกุกกักผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีอาการนี้ บูชปีกนกหรือลูกหมากปีกนกอาจจะมีปัญหา
  • ถ้าลองขับไปในเส้นทางตรง แต่รู้สึกว่าล้อไม่ตรง และควบคุมให้นิ่งไม่ได้ แสดงว่าลูกหมากแร๊คอาจจะมีปัญหา
  • ถ้าขับบนถนนขรุขระแล้วรถสะเทือนมาถึงพวงมาลัย ลูกหมากแร๊คหรือยางรัดแร๊คอาจจะมีปัญหา 
  • เมื่อลองขับขี่บนถนนขรุขระแล้วพวงมาลัยดึงมีเสียงกุกกัก ลูกหมากคันชักอาจจะมีปัญหา
  • ถ้าขับรถไปลงหลุมหรือขึ้นสะพานแล้วรถยวบผิดปกติ โช้คอาจจะมีปัญหา

ทุกอาการเหล่านี้ไม่ควรปล่อยไป เมื่อมีอาการผิกปกติควรพารถเข้าอู่โดยเร็ว 



 

สรุป

ไม่ว่าจะไปพักผ่อน กลับบ้าน หรือทำธุระที่ไหน ความปลอดภัยของเราและครอบครัวต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง วิธีเช็กรถก่อนเดินทางไกลจึงควรเป็นอีกหัวใจหลักที่ต้องคำนึงถึงในทุกแผนการเดินทาง ถึงรถจะมีอาการแปลกประหลาดเพียงเล็กน้อยก็โปรดอย่ามองข้าม ตรวจเอาไว้ก่อนให้ชัวร์ดีกว่า จะไปไหนก็จะได้อุ่นใจไม่ต้องมานั่งกังวล เช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกลจนมั่นใจแล้วก็ไปเช็กลิสต์กิจกรรมวันหยุดข้ออื่นได้แบบหมดห่วง!

16 กุมภาพันธ์ 2024