รถยนต์เปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ของใครหลายคนไปแล้ว ซื้อมาคันหนึ่งก็หวังจะใช้งานกันยาวๆ แบบราบรื่นแต่วันดีคืนดีรถสตาร์ทไม่ติดเสียอย่างนั้น ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่ารถจะเป็นประเภทมือหนึ่งหรือมือสอง เพียงแค่ได้ผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
รถที่สตาร์ทไม่ติดสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ครั้นจะเรียกช่างมาก็สะดวกดี แต่มีค่าใช้จ่ายแน่นอน ซึ่งในบทความนี้ ทางคาร์ฮีโร่มีวิธีแก้ปัญหา รถสตาร์ทไม่ติดด้วยตัวเองมาแนะนำ ก่อนที่จะนำรถเข้าศูนย์เพื่อเช็กอาการอย่างละเอียดและสามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
อาการรถสตาร์ทไม่ติดที่พบเจอได้บ่อย
รถสตาร์ทไม่ติดมักมีหลายอาการ ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อรถเกิดปัญหาขึ้นไม่ว่าจะส่วนใดของตัวรถ มักจะมีการขึ้นสัญลักษณ์เตือนบริเวณหน้าปัดของผู้ขับขี่ ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ทราบได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นที่ส่วนใดของรถ แต่อาการที่รถสตาร์ทไม่ติดก็มีอีกหลายอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้
• บิดกุญแจแล้วมีเสียงดังแชะหรือไม่มีเสียง
• บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนอืด
• บิดกุญแจแล้ว เครื่องหมุนปกติ แต่ไม่ได้หมุนเอง
เช็กสาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดที่ไม่ควรมองข้าม
จากอาการข้างต้นที่กล่าวมา สาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดสามารถเกิดได้หลายสาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุนั้น หลายคนอาจคิดไม่ถึง ดังนี้
น้ำมันหมด
น้ำมันเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนรถยนต์ และน้ำมันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดในลำดับต้นๆ ที่มักพบได้บ่อย เนื่องจากหลายคนเห็นว่าขีดบอกปริมาณของน้ำมันยังเหลืออยู่ ซึ่งแม้จะมีน้ำมันน้อย แต่ลืมไปว่าการจอดรถในที่ลาดเอียงและขณะที่ปริมาณน้ำมันในถังเหลือน้อยนั้น ก็สามารถส่งผลให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดน้ำมันในถังได้ จึงทำให้รถสตาร์ทไม่ติด แนะนำว่าไม่ควรชะล่าใจหากเห็นว่ามีปริมาณน้ำมันเหลือน้อย หรือหากเห็นว่าขีดบอกปริมาณน้ำมันอยู่ที่สีแดง ควรเติมทันที
แบตเตอรี่เสื่อม
โดยทั่วไปแล้วแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานที่ 1-2 ปี โดยประมาณ แต่หากมีการใช้งานที่มากกว่า 2 ปี เวลาสตาร์ท จะรู้ได้เลยว่าใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าปกติ และสุดท้ายอาจได้ยินเพียงเสียงแชะเดียวแล้วก็เงียบไป เบื้องต้นสามารถสังเกตความผิดปกตินี้ได้จากหน้าปัดรถยนต์ โดยหลังจากเสียบกุญแจและหมุนไปครึ่งรอบ หากไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ไม่ติด เป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อม
อาการรถสตาร์ทไม่ติดจากปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม มักเกิดในช่วงเช้า การจอดรถทิ้งไว้นาน รวมถึงบางครั้งจอดไว้เพียง 2-3 ชั่วโมงก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ไดชาร์จรถเสีย
ไดชาร์จ (Alternator) หรือ เครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าแล้วเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ พร้อมทั้งคอยสร้างกระแสไฟฟ้าให้เข้าสู่แบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงระบบต่างๆ ของรถยนต์ แต่หากรถสตาร์ทไม่ติดทั้งที่แบตเตอรี่ยังใหม่หรือยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่ เป็นไปได้ว่าไดชาร์จรถอาจเสีย
สาเหตุที่ทำให้ไดชาร์จเสีย ไดชาร์จเสีย สาเหตุหลักๆ แล้วเริ่มจาก
• เมื่อถึงระยะทางที่กำหนดแล้วแต่ไม่ได้นำไปซ่อมบำรุงหรือเช็กสภาพ มีการปล่อยให้สึกหรอ
• ฟิวส์ไดสตาร์ทขาด
• สายไฟที่ต่อกับไดสตาร์ทหลุด
• แปรงถ่านที่อยู่ในไดสตาร์ทหมด
วิธีสังเกตหากไดชาร์จเสีย
• รถดับขณะวิ่ง
• จู่ๆ แอร์ไม่เย็น หรือไฟหน้ารถไม่สว่างเหมือนเดิม
ไดสตาร์ทรถเสีย
ไดสตาร์ท หรือ มอร์เตอร์สตาร์ท ซึ่งเป็นมอเตอร์ต้นกำลัง ทำหน้าที่ฉุดให้เครื่องยนต์ทำงานเวลาที่เราสตาร์ทรถยนต์
สาเหตุที่ทำให้ไดสตาร์ทเสีย มักเกิดจากพฤติกรรม ดังนี้
• มักบิดกุญแจรถค้างเอาไว้ เมื่อทำบ่อย ๆ จะส่งผลให้ได้สตาร์ทไหม้
• การขับรถฝ่าน้ำท่วม เพราะน้ำจะเข้าไปที่ไดสตาร์ท ส่งผลให้แปรงถ่านขัดตัว เหตุจากอุปกรณ์ภายในเกิดสนิมจนทำให้ได้สตาร์ทไม่สามารถหมุนได้
• สายไฟที่ต่ออยู่กับตัวสตาร์ทมอร์เตอร์หลุดออกจากกัน หรือขาดชำรุด
• แปรงถ่านหมด
วิธีสังเกตหากไดสตาร์ทเสีย
• บิดกุญแจรถไปที่ตำแหน่งสตาร์ทแล้วเงียบ
• สตาร์ทติด แต่มีเสียงดังครืดคราด หรือมีเสียงดังมากผิดปกติ
ระบบไฟฟ้าเกิดปัญหา
รถสตาร์ทไม่ติดเนื่องจากระบบไฟฟ้าขัดข้อง นับเป็นปัญหาที่ค่อนข้างกว้าง แต่ถ้าหากตรวจสอบแล้วว่าแบตเตอรี่ ไดชาร์จ และไดสตาร์ท อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน การที่รถสตาร์ทไม่ติดนั้นก็สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุอื่นๆ ดังนี้
สาเหตุที่ทำให้ระบบไฟฟ้าเกิดปัญหา
• หนูกัดสายไฟขาด ทำให้กระแสไฟฟ้าถูกตัดไปด้วย
• เกิดความเสียหายขึ้นกับกล่อง ECU ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของรถยนต์
• การจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน
วิธีสังเกตหากระบบไฟฟ้าเกิดปัญหา
• ไฟส่องสว่างทุกส่วนไม่ทำงาน หรือไฟสว่างน้อยลง รวมถึงไฟเลี้ยวข้างใดข้างหนึ่งกระพริบถี่มากกว่าปกติ
• มีสัญลักษณ์แจ้งเตือนที่หน้าปัดฝั่งผู้ขับขี่ เช่น อาจมีรูปแบตเตอรี่ขึ้นเตือน เป็นต้น
ปั๊มติ๊กเสีย
ปั๊มติ๊ก คือ ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงที่ช่วยถ่ายโอนน้ำมันจากตัวถังรถไปยังเครื่องยนต์ หากปั๊มติ๊กเสีย จะส่งผลให้รถสตาร์ทติดยาก และเป็นสาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดได้
สาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสีย
ปั๊มติ๊กเสียเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
• การเติมน้ำมันครั้งละน้อย ๆ และปล่อยให้สัญญาณไฟขึ้นเตือนบ่อย ๆ ปั๊มติ๊กจะเกิดความร้อน และละลาย
• จอดรถทิ้งไว้นาน ไม่ค่อยได้นำออกไปใช้งาน
วิธีสังเกตหากปั๊มติ๊กเสีย
• รถสตาร์ทไม่ติด ทั้งที่แบตเตอรี่ และไดสตาร์ทพร้อมใช้งาน
• เร่งเครื่องยนต์ไม่ค่อยขึ้น ทำให้ไม่สามารถขับรถในความเร็วที่คงที่ได้
• เครื่องยนต์กระตุก
รวมวิธีแก้ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดแบบง่ายๆ ในเบื้องต้น
อย่าปล่อยให้น้ำมันในรถยนต์เหลือน้อย
การปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยหรือใกล้หมดถังบ่อยๆ จะส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น ปั๊มติ๊กเสื่อมสภาพ รวมถึงจะมีคราบตะกอนอยู่ที่ก้นถังน้ำมันได้ การดูแลรถยนต์ส่วนหนึ่งนอกจากการเติมน้ำมันให้เพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งานแล้ว การเลือกน้ำมันที่มีคุณภาพก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานขึ้น
เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่
หากสาเหตุที่รถสตาร์ทไม่ติดมาจากแบตเตอรี่เสื่อม ดังนั้น เพียงแค่เราเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ ก็สามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแล้ว
ใช้สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
เราจะใช้สายพ่วงแบตเตอรี่ก็ต่อเมื่อไดชาร์จเสีย ไม่สามารถปั่นกระแสไฟฟ้าได้ หรือแบตเตอรี่เสื่อม สายพ่วงจะทำหน้าที่ชาร์จประจุไฟฟ้าจากรถอีกคันไปสู่อีกคัน ซึ่งจะช่วยให้รถกลับมาใช้งานได้ชั่วคราวเท่านั้น
วิธีการใช้งานสายพ่วงแบตเตอรี่
• ดับเครื่องยนต์และปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดก่อน
• นำรถที่จะพ่วงเข้าด้วยกันมาต่อแบตเตอรี่ที่ขั้วบวก (สายสีแดง) กับขั้วบวกของรถอีกคัน
• นำขั้วลบ (สายสีดำ) มาต่อกับขั้วลบของอีกคัน ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที
• ลองสตาร์ทรถอีกครั้ง
ข้อควรรู้ก่อนการพ่วงแบตเตอรี่
• ห้ามเปิดระบบไฟทั้งสองคัน และสตาร์ทรถพร้อมกันเด็ดขาด เสี่ยงต่อการระเบิดได้
• ก่อนสัมผัสแบตเตอรี่ควรสวมถุงมือและสวมแว่นตาทุกครั้ง เพื่อลดการเกิดอันตรายจากน้ำกรด
• ควรใช้คีมหนีบ เพื่อช่วยให้ขั้วแบตเตอรี่รถยนต์เชื่อมต่อกัน
• ระวังการสัมผัสกันของปลายสายพ่วง เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่เมื่อถึงกำหนด
การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด เปรียบเสมือนการบำรุงรถยนต์ให้แข็งแรงอยู่เสมอ และเป็นการป้องกันไม่ให้รถสตาร์ทติดยากอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจะทำทุกๆ ระยะ 7,000-8,000 กิโลเมตร แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะทางและรุ่นของรถนั้นๆ เช่นกัน
หมั่นนำรถยนต์มาใช้บ่อยๆ
คนต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกายฉันใด เครื่องยนต์ก็ต้องการน้ำมันมาหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ฉันนั้น การจอดรถทิ้งไว้ในโรงรถเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ชำรุดได้ นอกจากนี้ น้ำมันและของเหลวอื่นๆ ก็จะระเหยไปเช่นกัน และนี่จึงเป็นอีกสาเหตุรถสตาร์ทไม่ติด ทางที่ดีควรนำรถยนต์มาใช้บ้างในบางโอกาส เพื่อป้องกันการเสื่อมของเครื่องยนต์ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีต่อครั้ง
สรุป
อาการรถสตาร์ทไม่ติดถือเป็นปัญหาที่คอยสร้างความลำบากให้กับเจ้าของรถทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นจากแบตเตอรี่รถยนต์ ไดชาร์จ ไดสตาร์ท หรือระบบไฟฟ้า และอื่นๆ ดังนั้นแล้ว เพื่อให้รถยนต์คู่ใจของเราสามารถกลับมาใช้งานได้อย่างเป็นปกติ การศึกษาวิธีแก้ ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง การใช้อุปกรณ์สำคัญ เช่น สายพ่วงรถยนต์ หรือการมีพฤติกรรมที่คอยสังเกตระดับน้ำมัน รวมถึงอาการของรถต่างๆ จะช่วยเป็นแนวทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดในเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ทางคาร์ฮีโร่ก็มีบริการตรวจเช็กสภาพรถถึง 221 รายการด้วยกัน